สแตนเลสคืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์ (ประเภท, เกรด, ผิว, และการใช้งาน)

1. รู้จัก 5 ประเภทหลักของสแตนเลส

สแตนเลสสามารถแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มหลักตามโครงสร้างภายใน ซึ่งแต่ละกลุ่มมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน:

• กลุ่มออสเทนนิติก (Austenitic): กลุ่มที่นิยมใช้มากที่สุด (304, 316), ทนการกัดกร่อนดีเยี่ยม, แม่เหล็กดูดไม่ติด
• กลุ่มเฟอร์ริติก (Ferritic): ราคาประหยัด, ทนการกัดกร่อนได้ดี, แม่เหล็กดูดติด (430)
• กลุ่มมาร์เทนซิติก (Martensitic): แข็งแรงสูง, สามารถชุบแข็งได้, เหมาะทำเครื่องมือตัด (420, 440C)
• กลุ่มดูเพล็กซ์ (Duplex): แข็งแรงและทนการกัดกร่อนสูงมาก, เหมาะกับงานหนัก (2205)
• กลุ่ม PH (Precipitation Hardening): แข็งแรงสูงสุด, เหมาะกับงานเฉพาะทางสูง (17-4PH)

2. เจาะลึกเกรดยอดนิยม: 304 vs 316

หัวใจของการเลือกเกรดคือการประเมิน "สภาพแวดล้อม" ที่วัสดุต้องเผชิญ:

• เลือกเกรด 304 / 304L: สำหรับงานทั่วไปในร่มหรือสภาพแวดล้อมปกติที่ไม่ต้องเจอกับสารเคมีรุนแรงหรือไอเกลือ (ตัวเลือกที่คุ้มค่า)
• เลือกเกรด 316 / 316L: สำหรับงานที่ต้อง "สู้" กับการกัดกร่อนขั้นสูง โดยเฉพาะจากคลอไรด์ (น้ำเค็ม, สารเคมี) เนื่องจากมีส่วนผสมของโมลิบดีนัม (ตัวเลือกที่ทนทานสูงสุด)

หมายเหตุ: เกรดที่มีตัว "L" (Low Carbon) ต่อท้าย เช่น 304L, 316L เหมาะสำหรับงานที่ต้องมีการเชื่อมเป็นหลัก

3. เลือก "ผิว (Finish)" ให้เหมาะกับการใช้งาน

หลังจากเลือกเกรดได้แล้ว การเลือกผิวก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน:

• ผิว No.1 (รีดร้อน): ผิวหยาบ, ด้าน, ไม่สวยงาม แต่แข็งแรง เหมาะสำหรับงานโครงสร้างที่ไม่เน้นความสวยงาม
• ผิว 2B (รีดเย็น): ผิวเรียบ, กึ่งเงา, สะอาดตา เป็นผิวมาตรฐานที่นิยมใช้มากที่สุดในงานทั่วไป
• ผิว BA (ผิวเงา): ผิวเงาสะท้อนคล้ายกระจก เหมาะสำหรับงานตกแต่งที่ต้องการความหรูหรา
• ผิวแฮร์ไลน์ (HL): ผิวลายเส้นผม สวยงามทันสมัย และช่วยซ่อนรอยขีดข่วนได้ดี