สแตนเลส 316 vs 316L: เจาะลึกเกรดทนสารเคมีและงานเชื่อม

7 คุณสมบัติเด่นของสแตนเลส 316

หัวใจที่ทำให้สแตนเลส 316 แตกต่างคือการเติมธาตุ **โมลิบดีนัม (Molybdenum)** เข้าไปประมาณ 2-3% ซึ่งมอบ 7 คุณสมบัติเด่นดังนี้:

1. ทนทานการกัดกร่อนสูงสุด: สามารถทนทานต่อกรด, ด่าง, และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคลอไรด์ (เช่น น้ำเค็ม, เหงื่อ) ได้ดีเยี่ยม
2. ทนทานความร้อนสูง: สามารถใช้งานในอุณหภูมิสูงได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สูญเสียความแข็งแรง
3. ความแข็งแรงสูง: มีความแข็งแรง (Tensile Strength) และทนทานต่อแรงกดได้ดีกว่าเกรด 304
4. ทนทานการสึกหรอ: มีความต้านทานต่อการสึกหรอและรอยขีดข่วนได้ดี
5. ขึ้นรูปได้ดี: ยังคงความเหนียวและความยืดหยุ่น ทำให้สามารถนำไปดัดโค้งหรือขึ้นรูปได้
6. สวยงามและถูกสุขลักษณะ: มีพื้นผิวที่เรียบเงา ทำความสะอาดง่าย ไม่สะสมเชื้อโรค
7. ปลอดภัย: ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สามารถใช้กับอุตสาหกรรมอาหารและยาได้

316 vs 316L: ตัว "L" สำคัญอย่างไรในงานเชื่อม?

ความแตกต่างเดียวที่สำคัญที่สุดระหว่าง 316 และ 316L คือปริมาณคาร์บอน:

• 316: มีปริมาณคาร์บอนปกติ (สูงสุด 0.08%)
• 316L (Low Carbon): มีปริมาณคาร์บอนต่ำมาก (สูงสุด 0.03%)

การมีคาร์บอนต่ำทำให้ สแตนเลส 316L เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับงานที่ต้องมีการเชื่อม เพราะจะช่วยป้องกันการเกิดการกัดกร่อนตามขอบแนวเชื่อม (Weld Decay) ทำให้รอยเชื่อมมีความแข็งแรงและทนทานในระยะยาว

การใช้งานของสแตนเลส 316 / 316L

ด้วยคุณสมบัติความทนทานที่เหนือกว่า ทำให้เกรด 316 ถูกเลือกใช้ในงานที่มีความต้องการเฉพาะทางสูง:

• อุตสาหกรรมทางทะเล: อุปกรณ์บนเรือ, ท่าเรือ, โครงสร้างนอกชายฝั่ง, ใบพัดเรือ
• อุตสาหกรรมเคมีและยา: ถังผสม, ท่อลำเลียงสารเคมี, เครื่องมือในห้องปฏิบัติการ, เตาปฏิกรณ์
• โรงงานแปรรูปอาหาร: อุปกรณ์ที่ต้องสัมผัสกับอาหารที่มีความเป็นกรดหรือเกลือสูง
• อุปกรณ์ทางการแพทย์: เครื่องมือผ่าตัด, รากฟันเทียม, อุปกรณ์ที่ต้องผ่านการฆ่าเชื้อบ่อยครั้ง
• งานสถาปัตยกรรมและก่อสร้าง: โครงสร้างภายนอกอาคารในพื้นที่ติดทะเลหรือในเมืองที่มีมลภาวะสูง